วิธีการคำนวนเลือกใช้ถังบำบัดน้ำเสียสำหรับบ้านพักอาศัย

สมัยก่อน ถังบำบัดน้ำเสีย ที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไปก็คือ ระบบบ่อเกรอะบ่อซึม  ซึ่งมีลักษณะเป็นบ่อคอนกรีต 2 ถัง ขึ้นรูปจากปลอกวงแหวนซีเมนต์มาเรียงซ้อนกัน  บ่อแรกเราจะเรียกว่า บ่อเกรอะ จะเป็นด่านแรกที่รับสิ่งปฏิกูลจากภายในบ้านโดยตรง มีหน้าที่กักเก็บสิ่งปฏิกูลต่างๆเพื่อให้เกิดกระบวนการย่อยสลายและตกตะกอนตามธรรมชาติ กากปฏิกูลจะตกตะกอนไปอยู่ที่ก้นบ่อ ส่วนน้ำที่อยู่ตอนบนของบ่อจะไหลลงสู่ บ่อซึม ซึ่งเป็นบ่อที่อยู่ถัดมา โดยน้ำที่ผ่านจากบ่อเกรอะมาแล้วจะค่อยๆ ซึมลงไปในดินและชั้นหินด้านล่างอย่างช้าๆ การทำงานของทั้งสองบ่อนี้จะต่อเนื่องกันไปเพื่อย่อยสลายของโสโครกจากน้ำทิ้งภายในบ้าน

ปัจจุบันปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับระบบบ่อเกรอะบ่อซึมก็คือ สิ่งปฏิกูลในบ่อเกรอะมักย่อยสลายไม่หมด เกิดปัญหาส้วมเต็ม กดชักโครกไม่ลงหรือน้ำล้นขึ้น  ต้องคอยหมั่นดูแลโดยสูบกากปฏิกูลต่างๆออกเป็นระยะ ทั้งนี้น้ำในบ่อซึมไม่สามารถซึมผ่านเนื้อดินลงไปได้  อาจเกิดจากดินในพื้นที่ก่อสร้างเป็นดินเหนียว หรือระดับน้ำใต้ดินซึม ทำให้บ่อซึมเต็มเร็วไม่เป็นไปตามหลักการธรรมชาติที่เราคาดไว้ ด้วยเหตุจึงมีการพัฒนาระบบบำบัดสิ่งปฏิกูลแบบถังสำเร็จรูปมาทดแทน

การก่อสร้างบ่อเกรอะบ่อซึมแบบสมัยก่อน ที่มีชื่อว่า “ถังชีวอนามัย” หรือ “ถังแซทส์” (SATS) ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกกันจนติดปากนั้น มาจากชื่อรุ่นของถังบำบัดน้ำเสียที่มีจำหน่ายในระยะแรกๆ

                                                                                                                ถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป

ถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูปนั้น จะรวมระบบบ่อเกรอะและบ่อซึมไว้ในถังเดียวกัน จึงสะดวกและใช้งานได้ง่ายกว่า น้ำที่ผ่านกระบวนการในถังบำบัดน้ำเสียจะมีความสะอาดเพียงพอที่จะปล่อยลงสู่รางระบายน้ำสาธารณะได้ แทนการซึมลงสู่ดิน ซึ่งมักก่อปัญหาขึ้นอยู่บ่อยๆ ถังบำบัดน้ำเสียมีให้เลือกใช้งานทั้งแบบไม่เติมอากาศ และแบบเติมอากาศ (Aerobic Bacteria) ซึ่งจะใช้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงแบคทีเรียเพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมี ทำให้กระกวนการย่อยสลายสารอินทรีย์มีประสิทธิภาพมากกว่าระบบธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ระบบบ่อเกรอะบ่อซึมยังสามารถใช้งานได้ หากเป็นพื้นที่ตามชนบทที่มีสภาพดินตามธรรมชาติ

 

รูปตัดแสดงกระบวนการทำงานภายในถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป ซึ่งรวมส่วนเกรอะและส่วนซึมเข้ามาอยู่ในตัวเดียวกัน

ส่วนการบำรุงรักษาถังบำบัดน้ำเสียนั้น  เป็นเรื่องที่ยากพอควร  เนื่องจากตัวถังจะฝังอยู่ใต้ดิน  แต่วัสดุที่นำมาใช้ผลิตถังอย่างพอลิเอทีลีน ( Polyethylene ) ก็มีความแข็งแรง และมีอายุการใช้งานนานกว่า 10 ปีขึ้นไป  อย่างไรก็ดีเราก็ควรช่วยยืดอายุของถังให้ยาวนานมากขึ้นด้วย โดยต้องสูบสิ่งปฏิกูลต่างๆที่เหลือจากการบำบัดของจุลินทรีย์ ซึ่งจมอยู่ก้นถังทิ้งออกไปบ้าง  เพื่อไม่ให้ตะกอนตกค้างมากเกินไปจนก่อให้เกิดคราบฝังแน่นภายในถัง ทั้งนี้ควรทำการสูบกากของเสียและตะกอนทิ้งเพื่อทำความสะอาด ประมาณ 3-5 ปี หรือสังเกตได้จากกรณีที่เราใช้ห้องน้ำแล้วกดชักโครกหรือราดน้ำไม่ลง ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์  ก็แสดงว่าคงถึงเวลาเรียกใช้บริการสูบส้วมแล้วล่ะ

 

 

สูตรคำนวณขนาด ถังบำบัดน้ำเสีย ?

ค่าเฉลี่ยใช้น้ำต่อคนต่อวัน X จำนวนคน X เวลาเก็บกัก + ปริมาตรสำรองเก็บกาก = ขนาดถังบำบัดน้ำเสีย (ลิตร)

ตัวอย่างการคำนวณ

ใช้น้ำ 200 ลิตร/วัน  X สมาชิกครอบครัว 5 คน X เวลาเก็บกัก 1.5 วัน + ปริมาตรสำรองเก็บกาก 100 = 1,600 ลิตร

สรุป คนเราใช้น้ำเฉลี่ย 200 ลิตรต่อคนต่อวัน ถ้าในบ้านมีคนอาศัยอยู่ 5 คน ควรเลือก ถังบำบัดน้ำเสีย ขนาด 1,600 ลิตร

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก ช่างประจำบ้านโดยบ้านและสวน

ที่มาอ้างอิง : https://www.baanlaesuan.com/100098/maintenance/septic_tank